Binary Option Cryptocurrency Forex

4 เทคนิค stop loss อย่างไรจึงจะหยุดความเสียหายของพอร์ตการลงทุน

4 เทคนิค stop loss
Written by TuiInvest2morrow

4 เทคนิค stop loss อย่างไรจึงจะหยุดความเสียหายของพอร์ตการลงทุน

4 เทคนิค stop loss มีความสำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดสินทรัพย์ใด ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงเพราะมีโอกาสที่นักลงทุนจะเกิดความผิดพลาดจนพอร์ตการลงทุนเกิดความเสียหายได้ แต่ด้วยการใช้เทคนิค Stop Loss นักลงทุนสามารถป้องกันพอร์ตการลงทุนของตนจากการสูญเสียที่อาจขยายใหญ่โตได้ และต่อไปนี้คือเทคนิค stop loss ที่จะช่วยหยุดการขาดทุนและลดความเสียหายของพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนได้

4 เทคนิค stop loss และความเข้าใจเบื้องต้น

หลักการของเทคนิค stop loss คือการกำหนดระดับราคาที่นักลงทุนยอมรับการสูญเสียได้เพื่อหยุดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่จัดการได้ การตั้ง stop loss ทำให้นักลงทุนไม่ต้องจับตาดูตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะการขายหรือการปิดสถานะจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อราคาของสินทรัพย์ตกลงถึงระดับที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ยังช่วยลดผลกระทบจากการตัดสินใจที่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียที่มากขึ้น สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่การใช้ stop loss นับเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ควรเรียนรู้เนื่องจากมันช่วยให้พวกเขาลงทุนในตลาดด้วยความมั่นใจมากขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียที่จะส่งผลกระทบที่ทำให้พอร์ตการลงทุนของพวกเขาเสียหายอย่างหนัก การตั้ง stop loss อย่างมีสติและตามหลักการจึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการจัดการความเสี่ยงและปกป้องเงินลงทุน นอกจากนี้ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดเส้นทางและวางแผนการลงทุนของตนได้ดียิ่งขึ้น

ประโยชน์ของการตั้ง Stop Loss

การใช้งาน stop loss นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์จัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับนักลงทุนในทุกๆ ระดับ ต่อไปนี้คือประโยชน์หลักๆ ของการตั้ง stop loss ที่นักลงทุนหน้าใหม่ควรทราบ

  1. ช่วยจำกัดการสูญเสีย: ประโยชน์หลักของการตั้ง stop loss คือการจำกัดระดับการสูญเสียที่นักลงทุนสามารถรับได้ในการซื้อขายแต่ละครั้ง หากราคาของสินทรัพย์ลดลงถึงระดับที่กำหนด ระบบจะทำการขายอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้การสูญเสียเพิ่มขึ้น
  2. เพิ่มความมั่นใจในการลงทุน: การรู้ว่าคุณมีการป้องกันการสูญเสียที่แน่นอนสามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจและช่วยให้คุณสามารถทำการลงทุนด้วยความสงบมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความผันผวนรายวันของตลาด
  3. ช่วยจัดการอารมณ์การลงทุน: การลงทุนมักเต็มไปด้วยอารมณ์ ซึ่งบางครั้งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดี การตั้ง stop loss ช่วยลดปัจจัยอารมณ์นี้ออกจากการตัดสินใจซื้อขาย โดยการใช้กลยุทธ์ที่วางแผนไว้อย่างชาญฉลาด
  4. ป้องกันผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่รุนแรง: ในสถานการณ์ที่ตลาดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด การตั้ง stop loss สามารถป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระดับที่ไม่สามารถควบคุมได้

การใช้งาน stop loss เป็นกลยุทธ์ที่มีทั้งข้อดีและข้อควรพิจารณา แต่ประโยชน์ที่ได้รับในการปกป้องพอร์ตการลงทุนและการจัดการความเสี่ยงนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่อาจยังไม่ชินกับความผันผวนของตลาด การเรียนรู้และการใช้ stop loss อย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้พวกเขาลงทุนด้วยความมั่นใจมากขึ้นและป้องกันไม่ให้การสูญเสียเกินกว่าที่สามารถรับได้

วิธีการกำหนดจุด Stop Loss

การตั้งค่า stop loss ให้เหมาะสมกับการลงทุนของคุณเป็นกระบวนการที่ต้องพิจารณาถึงหลายปัจจัย ดังนั้น การเลือกจุด stop loss ที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องของการตั้งค่าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ควรพิจารณาจากแนวคิดดังต่อไปนี้

1.ใช้เปอร์เซ็นต์เป็นตัวกำหนด: วิธีที่ง่ายที่สุดคือการกำหนด stop loss ที่ระดับเปอร์เซ็นต์ที่คุณยอมรับการสูญเสียได้จากการลงทุนหนึ่ง ๆ เช่น 2% หรือ 5% ของราคาซื้อ วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนรักษาการสูญเสียให้อยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้

2.การใช้ความผันผวนของราคา: อีกวิธีหนึ่งคือการใช้ความผันผวนของสินทรัพย์เพื่อกำหนดจุด stop loss โดยวัดจาก ATR (Average True Range) หรือการเคลื่อนไหวราคาเฉลี่ยในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งช่วยให้คุณสามารถตั้งค่า stop loss ที่ปรับเข้ากับระดับความผันผวนของสินทรัพย์นั้นๆ

3.ใช้แนวรับและแนวต้าน: การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถช่วยให้คุณระบุแนวรับและแนวต้านที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ การตั้ง stop loss อยู่ใต้แนวรับหรือเหนือแนวต้านสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการถูกตลาด “ล้างพอร์ต” เมื่อเกิดการแตกหักของราคา

4.กำหนดตามเป้าหมายการลงทุน: จุด stop loss ควรสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวและแผนการลงทุนของคุณ หากคุณมีทัศนคติที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง คุณอาจตั้งจุด stop loss ที่แตกต่างจากนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำก็ได้

5.การประเมินซ้ำและการปรับเปลี่ยน: การตั้งจุด stop loss ไม่ควรเป็นการตัดสินใจครั้งเดียวแล้วจบ แต่ควรประเมินซ้ำอย่างสม่ำเสมอตามสถานการณ์ของตลาดและการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การลงทุนของคุณ

แนวทางการใช้ stop loss ในสถานการณ์ต่างๆ

การใช้ stop loss อย่างมีประสิทธิภาพต้องพิจารณาสถานการณ์ต่างๆ ในตลาดและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อปรับให้เหมาะสมกับเป้าหมายและแนวทางการลงทุนของคุณ ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการใช้งาน stop loss ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน:

ในช่วงตลาดมีความผันผวนสูง: การตั้ง stop loss อาจต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อป้องกันการถูกตัดสินใจขายโดยอัตโนมัติเนื่องจากความผันผวนตามปกติ คุณอาจต้องขยายช่วงของ stop loss เพื่อหลีกเลี่ยงการขายที่ไม่จำเป็น

ในสถานการณ์ข่าวสำคัญ: เมื่อมีการประกาศข่าวสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ คุณอาจต้องการปรับ stop loss ให้แคบลงเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงอย่างกะทันหัน

เมื่อต้องการรักษากำไร: สำหรับสถานการณ์ที่การลงทุนของคุณกำลังทำกำไร การใช้ “trailing stop” คือวิธีหนึ่งที่ดีในการปรับ stop loss ตามราคาตลาดที่เพิ่มขึ้นเพื่อรักษากำไรที่ได้มาและยังคงเปิดโอกาสให้กำไรเพิ่มขึ้นได้อีก

สำหรับการลงทุนระยะยาว: นักลงทุนระยะยาวอาจใช้ stop loss อย่างแตกต่างจากนักลงทุนระยะสั้น เนื่องจากพวกเขาอาจปรับจุด stop loss ตามการเปลี่ยนแปลงราคาที่คาดหวังในระยะยาวและไม่ต้องการให้การลงทุนถูกขายออกเนื่องจากความผันผวนรายวันหรือรายสัปดาห์

การใช้ stop loss ในแต่ละสถานการณ์ต้องการการประเมินที่รอบคอบและการปรับใช้ที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าเทคนิคนี้จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายการลงทุนและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพการเรียนรู้และการปรับใช้ stop loss ตามสถานการณ์ต่างๆ นี้สามารถช่วยให้นักลงทุนหน้าใหม่ปรับปรุงกลยุทธ์การลงทุนและปกป้องพอร์ตการลงทุนของตนจากความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำแนะนำสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่การใช้ stop loss  เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่ฉลาด

เริ่มต้นด้วยการศึกษา: ก่อนใช้ stop loss สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจกลยุทธ์นี้และวิธีที่มันสามารถช่วยในการจัดการความเสี่ยง ศึกษาตัวอย่างการใช้งานจริงและลองใช้ในบัญชีทดลองก่อนนำไปใช้กับเงินจริง

กำหนดแผนการลงทุนของคุณ: ก่อนทำการลงทุนควรมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน ซึ่งรวมถึงการกำหนดจุด stop loss สำหรับแต่ละการลงทุน แผนนี้ควรพิจารณาถึงเป้าหมายการลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาการลงทุน

ใช้ stop loss อย่างมีสติ: แม้ว่า stop loss จะเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าในการจัดการความเสี่ยง แต่การใช้งานอย่างไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่การขายที่ไม่จำเป็นหากตั้งค่าไว้แคบเกินไปจึงควรปรับใช้ตามสถานการณ์ตลาดและควรตรวจสอบอยู่เสมอ

ปรับใช้ตามประเภทการลงทุน: ตั้ง stop loss ให้เหมาะสมกับประเภทของสินทรัพย์ที่คุณลงทุน สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอาจต้องการ stop loss ที่ยืดหยุ่นมากกว่า ในขณะที่สินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำอาจใช้ stop loss ที่แน่นอนมากขึ้น

พร้อมรับความเสี่ยงในระดับที่ไม่สร้างความเครียด: นักลงทุนจำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการลงทุน การตั้ง stop loss ควรสะท้อนถึงระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ และไม่ควรให้ความกลัวควบคุมการตัดสินใจในการลงทุนของคุณ

อย่าลืมเรื่องจังหวะของการเข้าซื้อและการออก: ในขณะที่ stop loss ช่วยในการจำกัดการสูญเสีย แต่ควรพิจารณาถึงจุดเข้าและเป้าหมายเหตุผลที่คุณจะออกจากการลงทุนด้วย เพื่อสร้างสมดุลที่ดีระหว่างกำไรและความเสี่ยง

 

การใช้งาน stop loss เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การลงทุนที่รอบคอบและเมื่อใช้งานอย่างถูกต้อง ก็จะสามารถช่วยให้นักลงทุนหน้าใหม่มีความมั่นใจและสบายใจมากขึ้นในการลงทุน จงน้อมรับความเสี่ยงในระดับที่คุณสบายใจและนำพาพอร์ตการลงทุนไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

 

Spread the love

About the author

TuiInvest2morrow

Leave a Comment