บัตรเครดิตที่ใครหลายคนรู้จักกันดี และก็มีหลายคนที่ได้หักทำลายบัตรทิ้งไปแล้ว โดยพยายามจะไม่ทำความรู้จักกับมันอีก ด้วยเป็นตัวการต้นเหตุในการก่อให้เกิดหนี้สิน แต่จริง ๆ แล้ว บัตรเครดิตก็เป็นเพียงบัตรพลาสติกใบหนึ่งเท่านั้น การจะนำไปใช้ในทางที่ถูกหรือไม่ถูก และจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเราหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเราเอง

พฤติกรรมนี้หนี้สินมหาศาล

คาดว่าใครหลายคนก็เคยพลาดท่ากับเจ้าบัตรเครดิตที่ทำให้เป็นหนี้ก้อนโตโดยไม่รู้ตัว เพราะปกติแล้วมนุษย์เงินเดือนอย่างเราทั่วไป ก็จะถือเงินสด เอาเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนพกใส่กระเป๋าไว้ใช้จ่าย พอถึงสิ้นเดือน เงินเดือนก็หมดไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เงินเดือน แล้วเมื่อมีบัตรเครดิตเข้ามาเพิ่ม ก็ใช้บัตรรูดซื้อสิ่งที่ต้องการ ทั้งสะดวก ทั้งได้แต้ม จึงรูดกันอย่างเพลิดเพลิน อีกทั้งเงินสดในกระเป๋าก็ยังถูกใช้จ่ายออกไปตามปกติ ทีนี้ทั้งรูดบัตรทั้งจ่ายสด เมื่อเวลาผ่านไปใกล้สิ้นเดือน ปรากฏว่าเงินสดในกระเป๋าก็หมดหายไป ยอดรูดบัตรเครดิตในระหว่างเดือนก็เพิ่มขึ้นมา พอถึงเดือนต่อไป ครบกำหนดรอบที่ต้องจ่ายบัตรเครดิตที่รูดไปเดือนก่อน statement แสดงยอดเรียกเก็บก็ส่งมา ก็ต้องหาเงินจ่ายไป บริหารจ่ายทบกันไปมา กระเป๋าโน้นกระเป๋านี้ จนกระทั่งเริ่มดิ้นไม่หลุดแกะไม่ออก

สุดท้ายก็ต้องไปกู้สินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่ม แล้วยังจ่ายทบไม่พอ ก็ต้องไปกู้แหล่งอื่นอีกเพื่อจ่ายทบโปะกันไปมา แล้วหากพฤติกรรมตัวเองยังไม่เปลี่ยน ไม่นานก็กลายเป็นหนี้สินก้อนโตจนดิ้นไม่หลุด พลาดท่าเสียทีให้กับบัตรเครดิตจนได้

การใช้บัตรเครดิตซื้อของ ใช้บัตรเครดิตเงินคืน

เมื่อมาทบทวนจุดที่ทำให้เราพลาดกับบัตรเครดิตจนเป็นหนี้ก้อนโต ก็คือเราใช้บัตรรูดซื้อของ แต่เงินในกระเป๋าเราก็ยังอยู่ ทำให้เราก็ใช้เงินในกระเป๋าไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว

สิ่งที่จะทำให้เราใช้บัตรเครดิตแล้วได้เงินคืนกลับมาไม่ยาก เรายังคงสามารถใช้บัตรเครดิตรูดซื้อของได้ต่อไป ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมจุดนี้ เพียงแต่เมื่อใดก็ตามที่เรารูดบัตรเครดิตใช้จ่าย เมื่อกลับมาถึงบ้านในวันนั้นหรือวันต่อไปให้รีบโอนเงินสดจากบัญชีธนาคารเพื่อไปจ่ายบัตรเครดิตในทันทีตามจำนวนที่เราได้รูดบัตรมา

เพราะทุกวันนี้ช่องทางการโอนเงินจ่ายค่าบัตรไม่ใช่เรื่องยาก สามารถจ่ายออนไลน์ผ่านธนาคารได้ง่าย ๆ เมื่อทำแบบนี้ ยอดเรียกเก็บในเดือนต่อไปก็จะเป็น 0 บาท ทุกครั้ง และในระหว่างเดือนที่เราใช้จ่ายนั้น ยังทำให้เราควบคุมได้ว่าเงินสดในบัญชีหรือกระเป๋าสตางค์เราที่เป็นเงินเดือนใกล้จะหมดแล้ว เราจะรู้ว่าใกล้สิ้นเดือนเหลือเงินสดอยู่กี่บาท หากเหลือน้อยเราต้องประหยัดแล้ว เพราะทุกครั้งที่เรารูด เงินในบัญชีหรือกระเป๋าเราก็จะลดลงไปด้วย

เครดิตเงินคืน ได้ตอนไหน

นอกจากนี้ เราต้องใช้บัตรเครดิตกับเรื่องที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ซื้อของใช้เข้าบ้าน หรือทานข้าวนอกบ้าน โดยมีการแบ่ง budget ไว้อยู่แล้วในทุกเดือน ไม่ควรนำบัตรเครดิตมาใช้ในการซื้อของฟุ่มเฟือย ซึ่งในการใช้บัตรเครดิตแบบนี้ไม่เพียงแต่จะได้แต้มหรือคะแนนกลับมา แต่เรายังได้เงินจากบัตรเครดิตกลับคืนมาด้วย (cash back) เช่น ถ้าเรามีแต้มจำนวน 10,000 คะแนน หรือ 12,000 คะแนน เราจะได้ cash back 1,000 บาท เป็นต้น

ถ้าเราใช้จ่ายเป็นเงินสด เราจะไม่ได้เงินจำนวนนี้กลับมาให้ได้ใช้จ่ายอีก จึงเป็นข้อดีและได้ประโยชน์จากการที่เราใช้บัตรเครดิตรูดซื้อของหรือใช้จ่าย ซึ่งในหนึ่งปีอาจทำให้ได้เงินกลับมามากถึงหลักพันหรือหลักหมื่นบาท เราสามารถเอาเงินจำนวนนี้ไปใช้จ่ายกับการพักผ่อน ท่องเที่ยว หรืออะไรก็ได้ เพราะเป็นเงินที่ได้กลับมาแบบฟรี ๆ ถึงแม้ว่า cash back จะคืนกลับมาในรูปของเงินในบัตรเครดิต แต่ก็จะทำให้เราจ่ายเงินให้กับบัตรเครดิตน้อยลง แล้วก็เอาเงินส่วนนั้นไปใช้กินเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวได้ ส่งผลให้เราใช้เงินสดของเราน้อยลง

สิ่งสำคัญคือวินัยการใช้บัตรเครดิตซื้อของ บัตรเครดิตเงินคืน

พฤติกรรมในการใช้บัตรเครดิตไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่มีวินัยกับตัวเองให้มากขึ้น รูดปุ๊บโอนจ่ายปั๊บ ซึ่งการโอนจ่ายจากบัญชีธนาคาร ยังมีข้อดีอีกที่ทำให้เราไม่ต้องไปเสียค่าธรรมเนียมในการจ่ายที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส ถ้าอย่างนั้นจะเป็นการเสียเงินเพิ่มให้เขาอีก แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีวินัย ยังไม่ควรลองวิธีนี้ เพราะที่สำคัญคือต้องมีวินัยกับตัวเอง

บัตรใบเดียวกัน เพียงเปลี่ยนวิธีใช้โดยที่ยังรูดบัตรจับจ่ายได้จากพฤติกรรรมเดิม แต่สามารถเปลี่ยนจากชีวิตที่เคยพังเพราะการรูดบัตร ทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่า สามารถนำเงินที่ได้กลับ มาใช้จ่ายในไลฟ์สไตล์ อาจจะท่องเที่ยวพักผ่อนหรือทานอาหารนอกบ้านได้ฟรีอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง จากการใช้บัตรเครดิตใบเดิม