ปัจจุบันการที่จะมีเงิน 1 ล้านบาทไม่ใช่เรื่องยากนัก อาจได้จากการทำธุรกิจหรือโบนัสประจำปี แต่พอมีเงิน 1 ล้านบาท คนส่วนใหญ่จะพบปัญหาการบริหารเงินที่มีให้งอกเงยสร้างรายได้แบบประจำสม่ำเสมอได้อย่างไร?
มีเงิน 1 ล้านบาท ลงทุนอะไรดี ? ให้มีเงินไหลเข้ามาทุก ๆ เดือน
1.การลงทุนในต่างประเทศ
การนำเงินมาบริหารผ่านสินค้าทางการเงินการลงทุน ซึ่งเป็นการบริหารพอร์ตในรูปแบบการลงทุนในต่างประเทศ โดยเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในประเทศไทย ที่มีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้การรับรอง เป็นกองทุนที่เน้นการเติบโต มีแนวคิดการบริหารเงินที่มีเข้ามาในบัญชีธนาคารทุกเดือน ที่เรียกว่ากระแสเงินสด
ยกตัวอย่าง สินค้าทางการเงินการลงทุน ที่มีนโยบายและกลยุทธ์ในการบริหารพอร์ตการลงทุน ที่มุ่งเน้น ทั้งรายได้ประจำ+เงินต้นเติบโต โดยที่เราจะมีรายได้ที่เปรียบเสมือนเงินปันผลหรือที่ได้จากการบริหารเงินกลับมาเป็นจำนวนเงินเท่ากันในทุกเดือน พร้อมทั้งเงินต้น 1 ล้านบาท ก็ยังมีการเติบโตด้วยเช่นกัน
2.กองทุนประเภท Income and Growth Fund (IGF)
กองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในประเทศไทยหลายแห่ง มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศแล้วมาขายในประเทศไทย เช่น บลจ.กรุงเทพ หรือ บลจ.กรุงศรี ที่มีกองทุนประเภทนี้ เสนอขายลูกค้าระดับในระดับกลางที่มีเงินลงทุนครั้งแรก 550,000 บาทขึ้นไป ไม่สามารถที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อย เพราะกองทุนประเภทนี้ มีนโยบายการลงทุนค่อนข้างซับซ้อน เหมาะกับนักลงทุนระดับกลางที่มีจำนวนเงินมากและมีประสบการณ์ในการลงทุนมาแล้ว เพื่อการทำความเข้าใจในกลยุทธ์บริหารพอร์ตการลงทุนหลักที่บริษัทนำไปลงทุนได้
กองทุนประเภทนี้ ใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบผสมผสาน เช่น ทั้งในตราสารหนี้ (ลักษณะเหมือนการปล่อยกู้ ได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ที่เขาเอาไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ต่าง ๆ) ทั้งในตราสารหุ้น (เป็นการลงทุนในหุ้นของตลาดทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือประเทศใดก็ตามที่ผู้จัดการกองทุนรวมเห็นว่ามีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต) และออปชั่น (ลักษณะที่ไม่ได้ลงทุนจริง แต่เป็นสิทธิ์ในการซื้อขายเพื่อปิดความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนของกองทุนใหญ่)
ผลตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุนทั้งหมด 3 ชนิด ดังนี้
1.หุ้นกู้ แปลงสภาพ
จะอยู่ในประเภทตราสารหนี้ ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าหนี้ ผลตอบแทนที่ได้ระหว่างทางที่ถือหุ้นคือรับดอกเบี้ยตามตกลง และมีโอกาสแปลงเป็นหุ้นของบริษัทนั้น ๆ ได้ในอนาคต เมื่ออายุหุ้นกู้ใกล้หมดอายุ เราจะมีโอกาสเลือกรับเงินก้อนที่ลงทุนคืนหรือจะนำเงินไปซื้อหุ้นของบริษัทในราคาที่กำหนดสิทธิ์ไว้ เช่น เรามีสิทธิ์ซื้อหุ้นในราคา 100 บาท แต่ในอนาคตเมื่ออายุหุ้นกู้หมด เช่น ในอนาคต 6 ปีข้างหน้า หุ้นตัวนี้ราคา 110 บาท โดยที่เรามีสิทธิ์แปลงสภาพอยู่ที่ 100 บาท เมื่อเราซื้อและขายต่อเราจะได้กำไรในทันที
2. High Yield Bonds
คือ ตราสารหนี้ทุกชนิด หรือหุ้นกู้ต่าง ๆ ที่สามารถลงทุนได้ครอบคลุมหุ้นกู้ที่มีเรทติ้งตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไป คือ ระดับ A, AA, AAA จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ถ้าระดับ C หรือ D หรือที่เรียกว่า Junk Bond อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจะลงทุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราลงทุนในระดับที่ต่ำนี้ แม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าในอนาคตหุ้นกู้นี้มีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น จะถูกปรับระดับเครดิตขึ้นไป เช่น ตอนซื้อมา 80 บาท เมื่อถูกปรับสถานะเราก็อาจจะขายได้ 90 บาท เท่ากับเราจะได้กำไรส่วนต่างของราคาด้วย นอกเหนือจากที่ได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยในส่วนที่เราถืออยู่แล้ว แบบนี้เป็นต้น นั่นคือเป็นผลตอบแทน High Yield Bonds ตามความหมายในหนังสือชี้ชวน ที่หมายถึง ผลตอบแทนเคลื่อนไหวแตกต่างกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น
3. หุ้นและการขายสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้น
1) เป็นการสร้างรายได้จากการขายสิทธิ์ เพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทน เช่น เราเอาหุ้นที่อยู่ในพอร์ต 1,000 หุ้น ให้คนอื่นยืม เพื่อให้ผู้ยืมนำไปขายในตลาด ยกตัวอย่าง วันนี้เขาขายไปในราคาที่ 100 บาท แล้วในอนาคตหุ้นตัวนี้ลงไปอยู่ที่ 80 บาท เขาจะได้รับกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นนี้ โดยที่ไม่ใช่หุ้นของตัวเอง ในขณะเดียวกัน ผู้ให้ยืมจะได้รับดอกเบี้ยจากผู้ที่ยืมหุ้นไป เป็นตามจำนวนระยะเวลาที่ยืมไป เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการได้รับผลตอบแทนจากการให้ยืมสำหรับคนที่มีพอร์ตหุ้นถือระยะยาวโดยที่เราไม่ได้ขายหุ้น
2) เราสามารถขายสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นได้ ในกรณีที่เรามีสิทธิ์ซื้อหุ้นได้ในราคา 100 บาท แต่ในอนาคต ราคาหุ้นอยู่ที่ 80 บาท เราก็จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ตัวนี้ได้ แต่ในทางกลับกันถ้าอนาคต ราคาหุ้นขึ้นไปอยู่ที่ 120 บาท ซึ่งเรามีสิทธิ์ที่จะซื้อได้ 100 บาท เราซื้อแล้วขายในทันทีจะได้กำไรส่วนต่าง 20 บาท
ข้อดีของการลงทุนกองทุนประเภท Income and Growth Fund (IGF)
มีแนวโน้มผลตอบแทนที่จะดีและได้รับอย่างสม่ำเสมอในอนาคต ถึงแม้ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก แต่เป็นการลงทุนที่เพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทน โดยที่จำกัดความเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุนได้ เพราะว่ากองทุนมีการเปิดสิทธิ์ต่าง ๆ ไว้ อย่างครอบคลุมความเสี่ยงทั้งช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง ซึ่งมีการตั้ง target ในการล็อกผลกำไรระหว่างทางได้ เช่น ล็อกที่ 7 – 8% จะทำให้บริหารผลตอบแทนอยู่ในค่าเฉลี่ยได้
มีเงิน 1 ล้านบาท ลงทุนอะไรดี ? ให้มีเงินไหลเข้ามาทุก ๆ เดือน สมมติเรามีเงินลงทุน 1 ล้านบาท แล้วผลตอบแทนกองทุนได้ปีละ 6% เมื่อเป็นรายเดือนคิดเป็น 0.5% เราจะได้รับเดือนละ 5,000 บาท เป็นต้น ซึ่งจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินต้นที่เราลงทุนไป ซึ่งการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ มีแนวโน้มการเติบโตของเงินต้น อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว