กองทุนรวม คืออะไร
กองทุนรวม เป็นการระดมเงินจากคนทั่วไปมาให้คนที่เชี่ยวชาญทางด้านการเงินมาบริหารจัดการเงินให้ หรือที่เรียกว่า Fund Manager ซึ่งจะเป็นผู้ที่นำเงินของเราไปลงทุนแทนเราในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ พันธบัตร ทองคำ น้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อกองทุนรวม
1.กำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการลงทุน
การจะลงทุนไม่ใช่คิดแต่เรื่องผลตอบแทน แต่ต้องถามตัวเองก่อนว่า จะลงทุนไปเพื่ออะไร มีเป้าหมายอะไรในการลงทุน การตัดสินใจเลือก กองทุนอยู่ที่เป้าหมายความต้องการของผู้ลงทุน
– เป้าหมายระยะสั้น ยกตัวอย่าง ถ้าเรามีเป้าหมายจะเก็บเงินเพื่อแต่งงานในอีก 3 ปีข้างหน้า จะไม่เหมาะที่จะลงทุนในหุ้นแบบ 100% ดังนั้นควรต้องลงทุนกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ที่มีความเสี่ยงต่ำในระยะสั้น โดยกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หรือพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น
– ต้องการสภาพคล่อง ถ้าต้องการเบิกง่ายถอนง่าย เผื่อสำรองกรณีฉุกเฉิน ควรเลือกกอง ทุนรวมตลาดเงิน ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากธนาคาร ซึ่งสามารถเบิกถอนง่ายตลอดเวลา เรียกว่า T+1 กองทุนรวมเพื่อการบริหารสภาพคล่อง ขายวันนี้เงินเข้าบัญชีพรุ่งนี้ เป็นต้น
– กองทุนผสมระหว่างหุ้นกับพันธบัตร ในกรณีที่เราต้องการได้ผลตอบแทนที่ดี แต่รับความเสี่ยงไม่ได้มากนัก และมีเป้าหมายในการลงทุนใน 6 – 7 ปีข้างหน้า ให้เลือก กองทุนผสมระหว่างหุ้นกับพันธบัตร
– เป้าหมายระยะยาว เช่น เพื่อเก็บเป็นเงินตอนเกษียณอายุ หรือเงินเพื่อการศึกษาของลูกในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า สามารถเลือกเป็นกองทุนหุ้นได้เลย
– ต้องการรายได้ประจำ ถ้ามีเงินจำนวนหนึ่งอยากซื้อบ้านหรือคอนโดให้เช่า เพื่อให้มีรายได้ประจำเข้ามา แต่เงินก้อนไม่พอซื้อ ให้เลือก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่จะให้ผลตอบแทนปีละประมาณ 5 – 6% และมีเงินปันผลให้ทุกไตรมาส โดยที่เราไม่ต้องไปดูแลบ้านหรือคอนโดเลย
2. ต้องศึกษาหาข้อมูล
กองทุนประเภทไหนที่เหมาะกับเรา จากที่รู้เป้าหมายในการลงทุนของตัวเองแล้ว ให้ศึกษาข้อมูลกองทุนแต่ละประเภท เลือกที่สามารถตอบเป้าหมายของเราได้
3. เลือกกองทุนจากข้อมูลเชิงลึก
ให้ดูข้อมูลของกองทุนต่าง ๆ ในหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet) หรือเข้าไปศึกษาในเว็บไซต์ www.morningstarthailand.com เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมกองทุนในประเทศไทย ให้พิจารณากองทุนจากข้อมูลหลัก ๆ ดังนี้
– คัดเลือกกองทุน จากข้อมูลพบว่ากองทุนที่ดีที่สุดย้อนหลังไป 10 ปี ผลตอบแทนจะอยู่ที่ 18% ต่อปี ส่วนกองทุนที่แย่ที่สุด ผลตอบแทน –20% ต่อปี ดังนั้นการเลือกพิจารณากองทุนจึงมีความสำคัญ หากยังไม่มีความรู้หรือข้อมูลให้เลือกจากเว็บไซต์ข้างต้นที่จะมีระบุ 5 ดาว ซึ่งเป็นกองทุนชั้นนำ แต่ถ้าพอมีความรู้อาจทำการเปรียบเทียบอย่างน้อย 4 กองทุน เพื่อดูผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี 3 ปี หรือ 1 ปี ว่าผลตอบแทนดี ชนะติดอันดับที่ 1 หรือที่ 2 บ่อยหรือไม่ ให้เลือก กองทุนที่มีผลตอบแทนดีที่สุดจากการเปรียบเทียบ
– ค่าใช้จ่ายของกองทุน พิจารณาตัวเลขอัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวมต่อปี (Total Expense Ratio) ในกรณีที่กองทุนที่เปรียบเทียบมีผลตอบแทนเท่ากัน ให้เลือกกองทุนที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่า เพราะค่าใช้จ่ายคือค่าบริหารจัดการกองทุนที่แต่ละกองทุนไม่เท่ากัน บางกองทุน 3% หรือ 1% ต่อปี แต่ผลตอบแทนที่เราได้เขาจะคำนวณหักค่าใช้จ่ายไว้เรียบร้อยแล้ว
– Sharp Ratio หรือผลตอบแทนต่อหนึ่งหน่วยความเสี่ยง ให้เลือก กองทุนที่มี Sharp Ratio สูงกว่า แต่ถ้าเป็น SD-Standard Deviation ให้เลือกที่ค่า SD ต่ำกว่า
เมื่อเลือกกอง ทุนได้แล้ว จากนั้นไปเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เช่น บลจ.โนมูระ หรือ บลจ.ฟิลลิป ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกองทุนทุกกองทุน ที่สามารถซื้อทุกกองทุนในประเทศไทยได้ในราคาเท่ากัน การซื้อขายไม่ยุ่งยาก
เมื่อตัดสินใจซื้อกองทุนรวม
1.Asset Allocation หรือการจัดสรรสินทรัพย์ในการลงทุน
โดยให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานที่สวนทางกัน เช่น หุ้นกับพันธบัตร หุ้นกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นการจัดพอร์ตการลงทุนที่ผสมผสานสินทรัพย์ เป็นการปรับสมดุลความเสี่ยง (balance port) เพราะถ้าในช่วงที่หุ้นตกหนักมาก พอร์ตเราก็จะตกไม่เยอะ แต่ถ้าเป็นช่วงที่หุ้นขึ้นสูง พอร์ตเราก็ขึ้นเหมือนกันแต่อาจขึ้นไม่เยอะ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถแนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนให้ได้ อาจจะเป็นแบบลงทุนระยะยาว Aggressive portfolio ที่มีการลงทุนในหุ้น 65 – 70% ในส่วนสินทรัพย์ 30% แต่ถ้าเป็นแบบลงทุนระยะสั้น 2 – 3 ปี Conservative portfolio ก็อาจจะลงทุนในหุ้นเพียง 20% และในส่วนพันธบัตรรัฐบาลอีก 80%
2. อย่า active บ่อย
ถ้าเราตัดสินใจเลือก กองทุนที่มั่นใจแล้ว ไม่ควรเปลี่ยนบ่อย ในช่วง 3 – 4 เดือน ไม่ใช่ขายกองทุนนี้ไปซื้อกองทุนนั้น เราจะเสียเงินไปกับค่าธรรมเนียม ควรถือกองทุนนั้น ๆ ในระยะยาว ติดตามดูบ้างอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ดูว่าจากที่เคยเลือกว่าอยู่อันดับที่ 1 มีการตกอันดับหรือไม่ ถ้าตกมาอันดับที่ 3 หรือ 4 อาจไม่มีผลอะไร แต่ถ้าตกร่วงมาเป็นอันดับที่ 20 ค่อยพิจารณาเปลี่ยน ขายทิ้งหรือสับเปลี่ยนกองทุน ยอม cut loss ดีกว่า แต่ถ้าในขั้นตอนการเลือกได้พิจารณาจากข้อมูลในเว็บไซต์ www.morningstarthailand.com แล้วเลือกกองทุนที่มี 5 ดาว ซึ่งอาจมีขึ้นลงบ้าง แต่เป็นไปได้ยากที่อันดับจะตกร่วงลงแบบนี้
ทุกกองทุนไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม กองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนอื่น ๆ มีข้อดีทั้งหมด แต่ขึ้นอยู่กับว่ากองทุนไหนที่เหมาะกับเรา จะสามารถตอบตามเป้าหมายที่เราต้องการได้