กองทุน การลงทุน ประวัติคนดังระดับโลก ประวัตินักลงทุน

แนวคิดและวิธีการลงทุนของ John Bogle ผู้บุกเบิกการลงทุนแนว passive จนประสบความสำเร็จ

แนวคิดและวิธีการลงทุนของ John Bogle
Written by TuiInvest2morrow

แนวคิดและวิธีการลงทุนของ John Bogle ผู้บุกเบิกการลงทุนแนว passive จนประสบความสำเร็จ

แนวคิดและวิธีการลงทุนของ John Bogle ผู้ก่อตั้ง Vanguard Group และผู้บุกเบิกการลงทุนแบบ passive ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอุตสาหกรรมการลงทุนด้วยแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง การลงทุนระยะยาวในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสามารถเอาชนะการลงทุนแบบ active ที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้ในระยะยาวโดย Bogle ได้พัฒนาปรัชญาการลงทุนนี้จากการศึกษาวิจัยของเขาเองในระหว่างที่เขาศึกษาที่มหาวิทยาลัย Princeton ซึ่งทำให้เขาได้เห็นถึงผลกระทบของค่าใช้จ่ายต่อผลตอบแทนของการลงทุน

การลงทุนแบบ passive ที่เน้นการซื้อและถือหุ้นในตลาดโดยรวมผ่านกองทุนดัชนีไม่เพียงแต่ลดค่าใช้จ่ายและภาระการจัดการแต่ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงผลตอบแทนจากตลาดโดยไม่ต้องพยายามเอาชนะตลาด แนวทางนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวิธีการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในระยะยาวและได้ช่วยให้นักลงทุนหลายล้านคนเติบโตทรัพย์สินของตนอย่างมั่นคง

แนวคิดการลงทุนแบบ Passive ของ Bogle

John Bogle สร้างแนวคิดการลงทุนที่ขัดแย้งกับคำแนะนำทั่วไปในยุคนั้น โดยเน้นการลงทุนในกองทุนดัชนีที่ติดตามประสิทธิภาพของตลาดโดยรวมแทนที่จะพยายามเอาชนะมันแนวคิดนี้อิงจากประสบการณ์และการศึกษาของเขาซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้ในระยะยาวหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการลงทุน

1.การเลือกกองทุนดัชนี:

การลงทุนในกองทุนดัชนีคือการลงทุนในตลาดหุ้นโดยรวมหรือเซกเมนต์ต่างๆ ของตลาดโดยไม่ต้องคัดเลือกหุ้นเฉพาะ Bogle มองว่าการลงทุนนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงผลตอบแทนระยะยาวของตลาดเนื่องจากมันกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นจำนวนมากและลดผลกระทบของความผันผวนของหุ้นเดี่ยว

2.การลงทุนระยะยาว:

Bogle แนะนำว่าการลงทุนควรมองในระยะยาวและหลีกเลี่ยงการซื้อขายอย่างถี่ถ้วนเพื่อเอาชนะตลาด เขาเน้นว่าการลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความอดทนและวินัยในการถือครองเนื่องจากตลาดมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

3.การเปรียบเทียบกับการลงทุนแบบ Active:

การลงทุนแบบ Active พยายามเอาชนะตลาดโดยการเลือกหุ้นที่ผู้จัดการเชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าตลาดในอนาคต อย่างไรก็ตาม การศึกษาแสดงให้เห็นว่าเมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการลงทุนแล้วส่วนใหญ่ของกองทุนแบบ Active ไม่สามารถเอาชนะกองทุนดัชนีได้ Bogle ย้ำว่าการลงทุนแบบ passive นั้นมีความสำคัญในการเข้าถึงผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนมากกว่าการลงทุนที่เน้นการเอาชนะตลาดที่มาพร้อมกับความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า

ปรัชญา “Cost Matters Hypothesis” ของ John Bogle

หนึ่งในแนวคิดหลักที่ขับเคลื่อนการลงทุนแบบ passive ของ John Bogle คือ “Cost Matters Hypothesis” (CMH) หรือแนวคิดที่ว่า “ค่าใช้จ่ายในการลงทุนมีความสำคัญ” Bogle เน้นว่าค่าใช้จ่ายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวของนักลงทุน

1.ผลกระทบของค่าใช้จ่ายต่อผลตอบแทน:

Bogle แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ค่าใช้จ่ายเล็กน้อยในการลงทุนก็สามารถลดผลตอบแทนสุทธิของนักลงทุนได้อย่างมากเมื่อมองในระยะยาว เขาใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อเน้นย้ำว่าค่าใช้จ่ายทางการเงินและค่าธรรมเนียมการจัดการสูงสามารถทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในระยะเวลาที่ยาวนาน

2.การเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายสูงและต่ำ:

การศึกษาจาก Vanguard ได้แสดงให้เห็นว่ากองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนที่มีค่าใช้จ่ายสูงตัวอย่างเช่นกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายน้อยมักจะมีผลตอบแทนรวมที่สูงกว่ากองทุนที่มีค่าธรรมเนียมการจัดการสูงในช่วงเวลาที่ยาวนาน ข้อเท็จจริงนี้ช่วยสนับสนุนว่านักลงทุนควรเลือกกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตของทุนในระยะยาว

ผลกระทบที่ CMH มีต่อนักลงทุนส่วนใหญ่คือการเปลี่ยนจากกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายสูงไปเป็นการลงทุนแบบ passive ในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำซึ่งนำไปสู่การลดลงของค่าธรรมเนียมในอุตสาหกรรมการลงทุนโดยรวมนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนรายย่อยเท่านั้นแต่ยังรวมถึงนักลงทุนสถาบันที่เริ่มหันมาใช้กองทุนดัชนีเพื่อประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยงและลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนของพวกเขา

กลยุทธ์การลงทุนของ Bogle และ Vanguard

John Bogle ไม่เพียงแต่นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการลงทุนแบบ passive เท่านั้น แต่ยังสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่ทำให้ Vanguard Group ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีรากฐานอยู่ที่การสร้างกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำและการเน้นลงทุนระยะยาว

1.การจัดการกองทุนของ Vanguard:

Vanguard เป็นหนึ่งในบริษัทจัดการลงทุนแห่งแรกๆ ที่นำเสนอกองทุนดัชนีที่ติดตามดัชนีตลาดใหญ่ๆ อย่าง S&P 500  นวัตกรรมนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการลงทุนอย่างมาก เนื่องจากกองทุนเหล่านี้ไม่ต้องการทีมวิเคราะห์หรือการตัดสินใจเชิงรุกเพื่อเลือกหุ้น นอกจากนี้กองทุนดัชนียังช่วยให้นักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนเท่ากับการเติบโตของตลาดโดยรวมโดยลดผลกระทบจากความผิดพลาดในการเลือกหุ้น

2.ประโยชน์ของการลงทุนในกองทุนดัชนี:

การลงทุนในกองทุนดัชนีไม่เพียงแต่ลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในตลาดโดยรวมผ่านกองทุนดัชนี นักลงทุนจะมีโอกาสน้อยที่จะได้รับผลกระทบจากการล้มเหลวของบริษัทเฉพาะกลุ่มหนึ่ง นอกจากนี้กองทุนดัชนียังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการติดตามตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิดหรือไม่มีประสบการณ์ในการเลือกหุ้น

3.การเข้าถึงการลงทุนสำหรับทุกคน:

Vanguard ยังโดดเด่นในการทำให้การลงทุนเป็นไปได้สำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยเสนอกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำในการลงทุนสิ่งนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่มีทุนน้อยสามารถเข้าถึงกลยุทธ์การลงทุนที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ได้ช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเติบโตทางเศรษฐกิจ

กลยุทธ์เหล่านี้ของ John Bogle และ Vanguard Group ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงผลตอบแทนการลงทุนสำหรับนักลงทุนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังได้ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติและแนวทางการลงทุนที่ยั่งยืนมากขึ้นในอุตสาหกรรมการเงิน

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการลงทุน

การเปิดตัวแนวคิดการลงทุนแบบ passive และกองทุนดัชนีโดย John Bogle ผ่าน Vanguard ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการลงทุนทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้รับการสนับสนุนจากผู้ลงทุนที่หันมาใช้กลยุทธ์การลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำและมีประสิทธิภาพสูง

1.การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมการลงทุน:

Vanguard และกองทุนดัชนีได้เริ่มยุคใหม่ของการลงทุนแบบต้นทุนต่ำ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับนักลงทุนระดับมืออาชีพ การเข้าถึงนี้ได้สร้างความเป็นธรรมมากขึ้นในตลาดการเงินและได้ทำให้การลงทุนไม่เพียงแต่เป็นสิทธิพิเศษของผู้ที่มีทรัพยากรมากมายอีกต่อไป

2.การลดค่าใช้จ่ายในอุตสาหกรรมการลงทุน:

ด้วยการนำเสนอกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ Bogle ได้กดดันให้บริษัทจัดการลงทุนอื่นๆ ต้องลดค่าธรรมเนียมการจัดการลงเพื่อแข่งขันได้ ผลลัพธ์คือการลดลงของค่าใช้จ่ายทั่วทั้งอุตสาหกรรมทำให้เกิดการประหยัดที่ส่งผลดีต่อนักลงทุนหลายล้านคน

3.การเพิ่มการตระหนักรู้เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและผลกระทบ:

การเน้นความสำคัญของค่าใช้จ่ายในการลงทุนโดย John Bogle ได้เปลี่ยนทัศนคติของนักลงทุนและบริษัทจัดการลงทุนต่อค่าธรรมเนียมนักลงทุนเริ่มตระหนักถึงผลกระทบระยะยาวของค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ และจึงเริ่มเลือกกองทุนที่ให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายที่ต่ำเพื่อการเติบโตทางการเงินในระยะยาว

ผลกระทบเหล่านี้ได้ทำให้ John Bogle และ Vanguard Group ได้รับการยกย่องในฐานะผู้ปฏิวัติวงการการเงินโดยการนำเสนอแนวทางที่ทั้งรุ่นเฉลิมฉลองและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ส่งเสริมความเท่าเทียมและการเข้าถึงในการลงทุนส่งผลให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจที่สมดุลและยั่งยืนมากขึ้น

อนาคตของการลงทุนแบบ Passive

การลงทุนแบบ passive ภายใต้แนวคิดของ John Bogle ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ด้วยการเติบโตของเทคโนโลยีและการเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายขึ้นอนาคตของการลงทุนแบบ passive ดูเป็นไปในทิศทางที่สดใส

1.การพัฒนาเทคโนโลยีและการลงทุนแบบ Passive:

เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ทำให้การจัดการและการติดตามกองทุนดัชนีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แพลตฟอร์มการลงทุนออนไลน์และแอปพลิเคชันมือถือช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงและจัดการการลงทุนของตนได้ง่ายดาย ลดความจำเป็นในการมีผู้จัดการการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายสูง

2.การเพิ่มความตระหนักรู้ในหมู่นักลงทุนรุ่นใหม่:

นักลงทุนรุ่นใหม่มีการศึกษาและความตระหนักรู้เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการลงทุนมากขึ้น ความรู้นี้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การลงทุนแบบ passive ยังคงเป็นที่นิยมและเติบโตอย่างต่อเนื่องเนื่องจากนักลงทุนต้องการความโปร่งใสและค่าใช้จ่ายที่ต่ำ

3.คำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่ต้องการติดตามแนวทางของ Bogle:

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำตามแนวทางของ John Bogle  คำแนะนำคือเริ่มต้นด้วยการลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำและมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี นอกจากนี้ควรมีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอและรักษาวินัยในการลงทุนเพื่อรับประโยชน์จากผลกระทบแห่งการทบต้นในระยะยาว

การลงทุนแบบ passive ตามแนวทางของ Bogle จะยังคงมีบทบาทสำคัญในอนาคตของการลงทุน. ด้วยการมุ่งเน้นที่ความง่าย, ความโปร่งใส, และประสิทธิภาพในการต้นทุน, แนวทางนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงผลตอบแทนทางการเงินที่ดีขึ้นในขณะที่ลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายในการลงทุน

Spread the love

About the author

TuiInvest2morrow